โน้ส อุดม อุดม แต้พานิช หรือ โน้ส
โน้ส อุดม (อุดม แต้พานิช) หรือ โน้ส อุดม
รณชัย สิงห์คำ
Positioning Magazine พฤศจิกายน 2551
ผู้ชาย หน้าตาธรรมดา มีจมูกรูปชมพู่เป็นสัญลักษณ์ แสดงถึงลักษณะเฉพาะตัว ด้วยความเป็นตัวของตัวเอง และการสั่งสมประสบการณ์ตลอดระยะเวลา 10 ปี ทำให้สามารถนำสิ่งที่ถ่ายทอดสร้างมูลค่าเพิ่มในรูปแบบของ Stand up Comedy หรือ “เดี่ยวไมโครโฟน” สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ล่าสุดกับเดี่ยว 7 ถึง 44 รอบการแสดง ส่งผลให้ “โน้ส” อุดม แต้พานิช เรียกได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลอีกคนหนึ่งของสังคมไทย ที่ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จและเป็นที่น่าจับตามอง
จุดเริ่มต้น ของ อุดม มาจากการเข้าวงการบันเทิงเมื่อปี พ.ศ. 2536 เป็น 1 ใน 5 เสนารายการยุทธการขยับเหงือก ซึ่งเป็นรายการ Comedian Show ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของช่อง 5 ในยุคนั้น
จึงทำให้ อุดมได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิงอย่าง เต็มตัวในชื่อ “เสนาโน้ส” หลังจากนั้น ตัดสินใจแยกตัวออกมาจากรายการยุทธการขยับเหงือก และได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นในเมืองไทย คือ การพูดตลกคนเดียวบนเวที ทำให้คนไทยได้รู้จักคำว่า Stand up Comedy หรือ “เดี่ยวไมโครโฟน” เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2538
จากปรากฏการณ์ครั้งนั้นทำให้การ แสดงเดี่ยวไมโครโฟนไม่หยุดเพียงครั้งเดียว ทำให้มีกระแสเดี่ยวไปทั่วเมือง ส่งผลให้เขาได้กลายเป็น “ตลกเดี่ยว” ชั้นแนวหน้าของประเทศ เป็นโชว์คนเดียวกับไมค์ ซึ่งมีคนรอซื้อบัตรและเข้าชมเป็นจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่ลูกเล็กเด็กแดงไปจนถึงอากง อาม่า ถึงกับต้องเปิดการแสดงติดต่อกันมากทุกครั้ง จะเห็นได้ว่าในเมืองไทยนอกจาก เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ แล้วก็มีแต่ “โน้ส อุดม” นี่แหละที่ทำได้ขนาดนี้
ด้วย Positioning ของอุดม แต้พานิช ทำให้คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักเขา ในนามของนักแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟน ที่ประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา แต่น้อยคนนักจะรู้จักว่าโลกส่วนตัวที่เหลือของเขา จะจมจ่อมอยู่ในโลกของศิลปะล้วนๆ ที่เขาอุทิศชีวิตล่างเวทีอยู่กับการวาด หากเขาอยู่ในสถานที่ๆ ไม่มีเฟรมหรือสี อุดมก็จะวาดลายเส้นอย่างไม่หยุดมือ อยู่ในไดอะรี่เล็กๆ ที่มักพกพาไปไหนต่อไหนด้วยเสมอ
จึงทำให้ช่วง เดือนที่ผ่านมา ทีม Positioning ได้สนทนากับเขาในนิทรรศการที่มีชื่อว่า “ขี้เหร่เนะ” ซึ่งเป็นการแสดงศิลปะแบบ “อุดม แต้พานิช” และศิลปินชาวญี่ปุ่น “คิน ชิโอตานิ” สองศิลปินอารมณ์ดี มีสไตล์การวาดภาพที่ทำให้รู้สึกสบายๆ และเต็มไปด้วยอารมณ์ขันของทั้งสองอย่างคล้ายคลึงกัน
หัวข้อของการ สนทนาวันนั้นเชื่อมโยงกับ Business ซึ่งเป็นอีกมุมมองหนึ่งของเขาที่เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ทำให้เขาออกตัวก่อนว่า ไม่มีประสบการณ์และไม่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ แต่สิ่งที่เขากำลังทำในขณะนี้ ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามันคือ“Business” เพราะเขาเองก็มีบริษัท พอดี พานิช จำกัด ที่จะจดทะเบียนด้วยเงิน 5 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2539 ที่ผ่านมา
ถ้าให้โน้ส เป็นสินค้าตัวหนึ่ง
ตายแล้วผมไม่รู้ ไม่เคยมองตัวเองเป็นสินค้า เพราะเวลาทำงานไม่ได้วางตำแหน่งว่าตนเองอยู่ที่ไหน ไม่เคยมองถึงกลุ่มเป้าหมาย
ให้วิเคราะห์ถึงจุดขายของโน้ส
นั่นคือเอ็งต้องวิเคราะห์ผม ไม่ใช่ให้ผมวิเคราะห์ตัวเอง “ผมเคยวิเคราะห์ตัวเองด้วยหรือ?”
การทำเดี่ยวมีทีมรีเสิร์ทและหาข้อมูลอย่างไร
ไม่ มีอย่าไปเชื่อ ไม่มีการทำรีเสิร์ทตั้งแต่การทำเดี่ยว 1-7 คิดเอง และมีทีมงานแค่ 4 คนที่คิดเรื่องดีเทลทั้งหมด อยากได้ฉากอย่างไร คือคิดให้เสร็จ จากนั้นก็ไปจ้างคนอื่นเขาทำ
กระบวนการสร้างแบรนด์ โน้ส อุดม
นั่นนะสิ ผมก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องการบริหารการสร้างแบรนด์ไม่เคยมีการวิเคราะห์ตัวเอง ไม่มี การทำรีเสิร์ท ถ้ามีเรียกว่า “ตอแหล”
แล้ววิธีคิดของ โน้ส อุดม
วิธี คิดของผมคือ ทำที่เราชอบ ที่ชอบๆ เดี๋ยวมันจะดีไปเอง คือ ทำของที่ระลึกที่อยากได้ เช่นกระเป๋า ต้องทำที่เราอยากได้ เล่นเดี่ยวโดยใช้อารมณ์ที่เราอยากดู ทำฉากที่เราอยากเห็น และก็ทำทุกอย่างในสิ่งที่เราอยากได้รับอย่างนั้น
แล้วทำไมสิ่งที่ อุดม ทำถึงเข้าถึงคนได้
มัน ไปโดนอะไรก็ไม่รู้ อันนี้ก็ไม่รู้ เขียนหนังสือก็เหมือนกัน เอานิสัยตัวเองที่ชอบแอบอ่านไดอารี่คนอื่น คือ เขียนในสิ่งที่เราอยากอ่าน มันเสียเวลาที่จะไปทำรีเสิร์ท
แล้วทำไมนักการตลาดชอบ ทำรีเสิร์ท
การ ทำรีเสิร์ท คือการแสดงว่าเรากำลังไปทำในสิ่งที่คนอื่นชอบ ไม่ได้ทำที่เป็นเราจริงๆ เหมือนกับการวาดรูป จะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้คนเขาชอบสีอะไร สีอะไรกำลังจะมา ไม่รู้เลย วาดในสิ่งที่เราอยากเห็น เรารู้สึกอย่างไรก็วาดอย่างนั้น
เราวาง Positioning ของตัวเราไว้อย่างไร
ไม่มีจะบ้าหรอ ต้องไปถามแกรมมี่ เขามีกระบวนอย่างนี้ ของผมไม่มีอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แล้วตัวโน้ส เป็นอย่างไรกันแน่
มัน เหมือนกับ มีคนบอกว่าก๋วยเตี๋ยวในซอยนี้รสเด็ด ไอ้คนทำก๋วยเตี๋ยวก็ไม่รู้หรอกก็ทำมาชั่วนานตาปีแล้ว สมมุติว่ามี 5 โต๊ะ เขาก็ขายมาแต่ไหนแต่ไรมา 5 โต๊ะแล้ว มีคนมาตามกินกันเอง ก็คือทำที่เราชอบ แล้วสิ่งที่คนอื่นชอบในสิ่งที่เราทำนั้นคือ “ผลพลอยได้”
เคยหวังไว้ก่อนไหมว่าคนจะชอบ
อย่าง ศิลปะ อย่างแรกต้องทำในสิ่งที่เราชอบก่อน ถ้าเขาชอบก็เป็นผลพลอยได้ ถ้าเขาไม่ชอบก็เป็นเรื่องของเขา เอาอย่างนี้ง่ายๆ ถ้าแต่งตัวออกจากบ้าน มีวิธีแต่งตัวสองอย่าง 1.จะใส่เสื้อตัวนี้เพราะผู้หญิงจะต้องชอบแน่ๆ เลย ใส่กางเกงตัวนี้กับรองเท้าซึ่งกำลังฮิต หรือ 2. มีคนบางคนบอกผมใส่ตัวนี้แล้วสบาย แล้วไม่สนด้วยว่าจะอินท์หรือเอาท์ เทรนด์แบบไหน ไม่ได้มองว่าสีอะไรจะมาหรือไม่มา ดูแค่ว่าอะไรมันจะเหมาะกับเราหรือเปล่า “คือผมไม่ได้คิดจากข้างนอกเข้ามา คิดจากข้างในออกไป” ส่วนผลพลอยได้คือเรื่องที่เขายอมรับหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา ซึ่งทุกวันนี้ถือว่า “โชคดี”
หลักในการทำโชว์เดี่ยวแต่ละครั้ง
อย่าง แรกไม่มีการทำรีเสิร์ท ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวใกล้ตัว เรื่องแม่ แม่เป็นคนที่ตลกจริงๆ ก็เล่าเรื่องแม่ หรือว่าไปทำงานกับใคร ก็เอาเรื่องคนนั้นมาพูด เช่นไอ้ต้อม (ยุทธเลิศ สิปปภาค) มีเรื่องขำๆ ก็เล่าเรื่องมัน กับบอม สินเจริญ มันตลกก็เล่าเรื่องมัน ซึ่งไม่เคยมาแพลนมาก่อนหรอก เรารู้สึกว่ามันตลกเราก็เล่าเรื่องมันแค่นั้นเอง ส่วนเรื่องการพักผ่อนถ้าทำงานครึ่งปี ต้องเที่ยวครึ่งปี เพราะการท่องเที่ยวคือการศึกษานอกโรงเรียน
มีฝ่ายบริหารจัดการไหม
ไม่ มี เพราะเราไม่ทันมัน ถ้าเราไม่รู้อะไรจริงหรือไม่จริง คิดว่าอย่าไปทำมันเลย คนเราเกิดมาทำได้บางอย่างเท่านั้น ยกตัวอย่างป๋าเทพ ซึ่งเป็นตลกขั้นเทพ ทำธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จเพราะอะไร ป๋าเทพอาจจะกลุ้มใจ แต่ผมอยากบอกว่า “คนอย่างป๋าเทพเกิดมาในประเทศไทยมีคนเดียว นักธุรกิจมีเป็นแสนเป็นล้าน” เขาเกิดมาเพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนไง บางคนเกิดมาเพื่อทำบางอย่าง ไม่ได้ทำในสิ่งนั้นทั้งหมด
แล้ว โน้ส เกิดมาทำอะไร
ผมเกิดมาทำในสิ่งที่ผมชอบ แล้วที่สำคัญสบายใจในสิ่งที่ทำ ไม่ต้องฝืนใจ
แล้วคนอื่นเขาก็ทำในสิ่งที่ชอบแล้วไม่ประสบความสำเร็จเหมือน โน้ส
แสดงว่าทำบุญมาน้อย (หัวเราะ) คนทุกคนมันไม่เหมือนกัน
เดี่ยว 8 มีเมื่อไหร่
เดี่ยวแปด น่าจะปี 2552 ไม่รู้ว่าเดือนไหน ต้องรอสถานการณ์บ้านเมืองให้สงบก่อน (หัวเราะ)
ทั้ง หมดคือเรื่องราวที่เกิดจากการสนทนาของ “อุดม แต้พาณิช” สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเห็นว่า ถ้าการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน คือการออกไปเล่าเรื่อง และใช้การสื่อสารทุกอย่างในร่างกายของเขา เพื่อสร้างความสุขและเสียงหัวเราะให้ผู้ชมแล้ว ส่วนเรื่องราวที่เหลืออยู่ในใจ เขาเลือกการใช้ลายเส้นและสี ระบายมันออกมาอยู่บนเฟรมอันใหญ่ๆ แทน อาจจะเป็นเรื่องราวที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก มันอาจจะเป็นอารมณ์หรือคำพูดที่ยากเกินอธิบายด้วยภาษาหรือท่าทาง แต่ทั้งหมดก็ถูกถอดรหัสให้กลายเป็นงานศิลปะ ในแบบฉบับของ “อุดม แต้พานิช”
และ เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ “อุดม” นั้นมาจากไหน ทำไมเขาทำอะไรจึงมีแต่คนสนใจและติดตามอยู่เสมอ และมีวิธีการสร้างแบรนด์อย่างไร ทีม positioning ได้พูดคุยกับ ภูสิต เพ็ญสิริ กรรมการผู้จัดการของนาโน เซิร์ช และผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ได้ให้ความคิดเห็นและเสนอคำตอบ
สร้างแบรนด์แบบ “โน้ส”
กระบวน การสร้างแบรนด์ของโน้ส เป็นการสร้างแบรนด์ที่มาถูกทาง โดยการเริ่มสร้างตั้งแต่ Brand Characteristic จากนั้นสามารถพัฒนาเป็น Brand Identity เมื่อถึงจุดนี้แบรนด์มักจะถูกอ้างอิงและนำเข้าไปสู่การถูกใช้ ทำให้เป็นการตลาดที่ชัดเจน และพัฒนาเข้าสู่ Brand Creditability ได้สำเร็จ เมื่อแบรนด์ อุดม มาถึงจุดนี้แล้ว ก็สามารถต่อยอดได้ เพราะแบรนด์มี Identity อยู่ในตัวผู้ฟังแล้ว ทำให้ไม่ว่าแบรนด์นี้จะออกโปรดักส์อะไร ผู้บริโภคจะรอคอยและติดตาม และแบรนด์อุดม เป็นแบรนด์ที่เรียกว่า “ฉลาด” ที่ออกมาถูกจังหวะ ไม่ได้ออกมาบ่อยครั้ง และถูกวางแผนมาอย่างดี เพราะเลือกออกโปรดักส์ในช่วงที่คนอื่นไม่ออก เพราะเขาเชื่อว่าแบรนด์ของเขามี Brand Identity
และเมื่อมีแบรนด์ อุดมแล้ว เขาก็เป็นคนไม่ทำลายแบรนด์ ตามBrand Blue Print ของเขาอย่างเคร่งครัด ที่ไม่ได้รับโฆษณา ละคร ถ่ายแบบ หรือร้องเพลงแบบมั่วๆ ไม่มีกฎเกณฑ์ และเป็นคนที่ไม่ยอมทำลายแบรนด์ของตัวเอง แตกต่างจากศิลปินทั่วไปที่อยากดังแบบฉาบฉวยแต่ก็ไม่ได้ยั่งยืน
ทำให้จังหวะในการออกสินค้าของอุดม นั้นเรียกได้ว่าเป็น “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แบรนด์เขาแข็งแกร่ง
แบรนด์สะท้อนสังคม
การ ที่ผู้บริโภคเลือกในแบรนด์อุดม สะท้อนให้เห็นว่าคนที่มีความรู้เรื่องแบรนด์ ย่อมได้เปรียบคนที่ไม่เข้าใจ ทำให้แบรนด์พัฒนาและสร้าง Brand Value จึงทำให้แบรนด์ตายช้า สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
และสามารถสะท้อนได้ในอีกมุมมอง คือสังคมเรามีวิธีคิดและรสนิยมที่ชัดเจน ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้อย่างชัดเจน หรือเรียกง่ายว่า “ผู้บริโภคฉลาดขึ้น” ต่างจากในอดีตที่ถูกยัดเหยียดให้บริโภค แต่ปัจจุบันผู้บริโภคฉลาดและสามารถเลือกใช้สินค้าว่า “สินค้าตัวไหนที่เหมาะกับตัวเอง”
ข้อเด่น-ข้อจำกัด
เมื่อพูด ถึงข้อเด่น คือการมีกลุ่มเป้าหมายและแบรนด์ที่ชัดเจน หรือเรียกว่า “Focusing Model” เป็นโมเดลที่ชัดเจนในตัวสินค้า ส่วนข้อจำกัดคือไม่สามารถขยาย Identity ของแบรนด์ได้ เพราะอุดมไม่ใช่เป็นคนของ “มหาชน” เหมือนกับ “ยอดรัก” แต่อุดมเป็นเพียง “บุคคลสาธารณะ” เพียงแต่มีกลุ่มเป้าหมายและมีการสื่อสารระหว่างกันที่ชัดเจนเท่านั้น เพราะยังขาดการทำความดีเพื่อมหาชน และยังทำอะไรโดยใช้ความเป็นตัวของตัวเองอยู่
อุดม แต้พานิช หรือ โน้ต เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2511 เป็นชาวจังหวัด ชลบุรี ไม่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเพาะช่าง แผนกวิชาพาณิชยศิลป์ ใช้ชีวิตและทำงานที่กรุงเทพและเชียงใหม่
จำนวนรอบการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน
ครั้งที่ 1 (เดี่ยวไมโครโฟน) เปิดการแสดงทั้งหมด 3 รอบ
ครั้งที่ 2 (อุดม โชว์ห่วย) เปิดการแสดงทั้งหมด 14 รอบ
ครั้งที่ 3 (อุดม การช่าง) เปิดการแสดงทั้งหมด 22 รอบ
ครั้งที่ 4 (เดี่ยว 4) เปิดการแสดงทั้งหมด 28 รอบ
ครั้งที่ 5 (ฉายเดี่ยว) เปิดการแสดงทั้งหมด 30 รอบ
ครั้งที่ 6 (ตูดหมึก) เปิดการแสดงทั้งหมด 43 รอบ
ครั้งที่ 7 (เดี่ยว 7) เปิดการแสดงทั้งหมด 44 รอบ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น